  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | สรรพคุณของว่านหางจระเข้ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น ใบ เป็นใบเดี่ยว 
                            ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างกัน 
                            แผ่นใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อกระ 
                            จะที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด 
                            ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร ผล เป็นผบแห้งรูปกระสวย | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้เป็นยาภายใน 
                            1. เป็นยาถ่าย : ใช้น้ำยางสีเหลืองที่มีรสขม คลื่นไส้ อาเจียน น้ำยางสีเหลืองที่ไหลออกมาระหว่างผิวนอกของ 
                            ใบกับตัววุ้น จะให้ยาที่เรียกว่า ยาดำ 
                            วิธีการทำยาดำ 
                            ตัดใบว่านหางจระเข้ที่โคนใบให้เป็นรูปสามเหลี่ยม (ต้องเป็นพันธุ์เฉพาะ ซึ่งจะมีขนาดใบใหญ่ 
                            และอวบน้ำมาก จะให้น้ำยางสีเหลืองมาก) ต้นที่เหมาะจะตัด ควรมีอายุ 9 เดือนขึ้นไป 
                            จะให้น้ำยางมากไปจนถึงปีที่ 3 และจะให้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ 10 ตัดใบว่านหางจระเข้ตรงโคนใบ 
                            และปล่อยให้น้ำยางไหลลงในภาชนะ นำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ ทิ้งไว้จะแข็งเป็นก้อน ยาดำ 
                            มีลักษณะสีแดงน้ำตาล จนถึงดำ เป็นของแข็ง เปราะ ผิวมัน กลิ่นและรสขม คลื่นไส้ อาเจียน 
                            สารเคมี : สารสำคัญในยาดำเป็น G-glycoside ที่มีชื่อว่า barbaloin 
                            (Aloe-emodin anthrone C-10 glycoside) ขนาดที่ใช้เป็นยาถ่าย - 0.25 กรัม เท่ากับ 250 มิลลิกรัม 
                            ประมาณ 1-2 เม็ดถั่วเขียว บางคนรับประทานแล้วไซ้ท้อง 
                            2. แก้กระเพาะและลำไส้อักเสบ : โดยเอาใบมาปอกเปลือกออก เหลือแต่วุ้น แล้วใช้รับประทาน 
                            วันละ 2 เวลา ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ 
                            3. แก้อาการปวดตามข้อ : โดยการดื่มว่านหางจระเข้ทั้งน้ำ วุ้น หรืออาจจะใช้วิธีปอกส่วนนอกของใบออก 
                            เหลือแต่วุ้น นำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นๆ จะช่วยให้รับประทานได้ง่าย รับประทานวันละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1-2 ช้อนโต๊ะ 
                            เท่ากับ 2 ช้อนแกง บางคนบอกว่า เมื่อรับประทานว่านหางจระเข้ อาการปวดตามข้อจะทุเลาทันที 
                            แต่หลายๆ คนบอกว่า อาการจะดีขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกันสองเดือนขึ้นไป 
                            สำหรับใช้รักษาอาการนี้ ยังไม่ได้ทำการวิจัย | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้เป็นยาภายนอก 
                            เครื่องสำอางค์ : 
                            - วุ้นจากใบสดชโลมบนเส้นผม ทำให้ผมดก เป็นเงางาม และเส้นผมสลวย 
                               เพราะวุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี 
                               ผมจึงดกดำเป็นเงางาม นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยรักษาแผลบนหนังศีรษะด้วย 
                            - สตรีชาวฟิลิปปินส์ ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้รวมกับเนื้อในของเมล็ดสะบ้า 
                              (เนื้อในของเมล็ดสะบ้ามีสีขาว ส่วนผิวนอกของเมล็ดสะบ้ามีสีน้ำตาลแดง รูปร่างกลมแบนๆ 
                                ใช้เป็นที่ตั้งในการเล่นสะบ้า) ต่อเนื้อในเมล็ดสะบ้าประมาณ ? ของผลให้ละเอียด 
                              แล้วคลุกรวมกับวุ้น นำไปชโลมผมไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก ใช้กับผมร่วง รักษาศีรษะล้าน 
                            - รักษาผิวเป็นจุดด่างดำ ผิวด่างดำนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอายุมาก หรือถูกแสงแดด 
                              หรือเป็นความไวของผิวหนังแต่ละบุคคล ใช้วุ้นทาวันละ 2 ครั้ง หลังจากได้ทำความสะอาดผิว 
                              ด้วยน้ำสะอาด ต้องมีความอดทนมาก เพราะต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ จึงจะหายจากจุดด่างดำ 
                              แต่ถึงอย่างไรก็ดี ควรใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทา จะทำให้ผิวหนังมีน้ำ มีนวลขึ้น 
                            - รักษาสิว ยับยั้งการติดเชื้อ ช่วยเรียกเนื้อ ช่วยลดความมันบนใบหน้า 
                              เพราะในใบว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ 
                            - โรงพยาบาลรามาธิบดี กำลังลองใช้กับคนไข้ที่เป็นแผล เกิดขึ้นจากนั่ง หรือนอนทับนานๆ ( Bed sore ) 
                              ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางที่เตรียมขายในท้องตลาดหลายารูปแบบ เช่น ครีม โลชัน แชมพู และสบู่ 
                              สำหรับสาระสำคัญที่สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอื่นๆ นั้น 
                              ได้ค้นพบว่าเป็นสาร glycoprotein มีชื่อว่า Aloctin A เป็น Anti-inflammatory 
                              พบในทุกๆ ส่วนของว่านหางจระเข้ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          สารเคมี : ใบมี Aloe-emodin, Alolin, Chrysophanic acid Barbaboin, AloctinA, Aloctin B, Brady 
                            Kininase Alosin, Anthramol Histidine, Amino acid , Alanine Glutamic acid Cystine, 
                            Glutamine, Glycine. | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          สรรพคุณในเครื่องสำอาง : 
                            1.ใช้วุ้นของว่านหางจระเข้ ผสมในแชมพู ครีมนวดผม 
                            2.ผสมครีมบำรุงผิว ลบจุดด่างดำ ลดฝ้าบนผิวหนัง 
                            3.ใส่ผม ทำให้ผมหงอกช้า เป็นเงางาม 
                            4.ใช้ส่วนที่เป็นวุ้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ช.ม 
                            แล้วล้างออก ช่วยดูดสิวเสี้ยนและฆ่าเชื้อบนผิวหน้า | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | ที่มาของข้อมูล : http://www.plantgenetic-rspg.org/ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | โรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ (Gastroenteritis) | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          Gastroenteritis คือ อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต อาการที่พบได้ทั่วไป คือ ท้องเสียและอาเจียน  
                            ซึ่งเชื้ออาจแพร่กระจายผ่านอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยทั่วไปผู้ป่วยอาจรักษาบรรเทาอาการจนดีขึ้นได้เองภายใน 1 สัปดาห์ 
                            แต่หากอาการไม่ทุเลาลงหรือทวีความรุนแรงขึ้น อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโรค 
                            เมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบโดยทั่วไปก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์  
                            แต่ถ้าหากเกิดกับทารกหรือเด็กเล็กก็จะเป็นอันตรายมากขึ้นเพราะล่อแหลมต่อภาวะขาดน้ำ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบเป็นการติดเชื้อของลำไส้  
                            ซึ่งมาจากการดื่มหรือรับประทานอาหารที่ ปนเปื้อนด้วย เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ ปรสิต หรือจาก คน ที่มีการติดเชื้อ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          อาการของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ 
                            อาการหลักของ Gastroenteritis คือ ท้องเสีย เพราะเมื่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กติดเชื้อจนไม่สามารถกักเก็บของเหลวไว้ได้  
                            ร่างกายจะขับถ่ายอุจจาระออกมาในลักษณะถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ โดยอาการท้องเสียและอาการอื่น ๆ มักปรากฏขึ้นภายใน 1 วัน 
                            หลังจากติดเชื้อ และอาจหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่อาการอาจยังคงอยู่นานกว่านั้นในบางกรณี ได้แก่ 
                            - คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาเจียนพุ่งอย่างรุนแรง 
                            - ไม่อยากอาหาร 
                            - ปวดเกร็งท้อง และมีเสียงโกรกกราก 
                            - รู้สึกป่วย เป็นไข้อ่อน ๆ 
                            - เหนื่อยล้า อ่อนแรง 
                            - ปวดหัว หรือปวดกล้ามเนื้อร่วมกับอาการอื่น ๆ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ภาวะแทรกซ้อนของโรค 
                            มักเกิดกับเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 65 ปี ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ ภาวะขาดน้ำ ขาดสารอาหาร  
                            และ อาการลำไส้แปรปรวน | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          สาเหตุของการเกิดโรค 
                            - กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ได้แก่ การติดเชื้อ ด้วย ไวรัส แบคทีเรีย หรือ ปรสิต 
                            - บริโภคอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเล ปลาดิบ หรือปลาที่ปรุงไม่สุกดี 
                            - สัมผัสวัตถุหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ใช้เครื่องครัวหรือของใช้ภายในบ้านที่สกปรก 
                            - ไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก 
                            - ใกล้ชิดหรือได้รับเชื้อจากผู้ป่วย Gastroenteritis เพราะลมหายใจของผู้ป่วยอาจปนเปื้อนเชื้อจากอาเจียนออกมาด้วย  
   ซึ่งเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          การป้องกันโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ 
                            เนื่องจากโรค Gastroenteritis อาจแพร่กระจายได้ง่าย การป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดจากการป่วยติดเชื้อจึงอาจทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 
                            - ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งหลังไอ จาม เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และก่อนรับประทานอาหาร 
                            - หากมีผู้ป่วย Gastroenteritis ในบ้าน ควรทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ ในบ้านเสมอ อาจใช้น้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย  
  โดยเฉพาะในห้องน้ำและบริเวณโดยรอบจากการท้องเสียและอาเจียน 
- ซักผ้าบ่อยครั้ง โดยแยกเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวของผู้ป่วยออกจากผ้าอื่น ๆ 
- ล้างอาหารและผักให้สะอาด ปรุงเนื้อสัตว์และไข่ให้สุกดีก่อนรับประทานทุกครั้ง และหากรับประทานอาหารเหลือ    
   ควรเก็บอาหารใส่ช่องแช่แข็งทันที 
- ห้ามรับประทานปลาหรือเนื้อสัตว์ดิบ และห้ามรับประทานอาหารในภาชนะที่ใช้ใส่เนื้อสัตว์ดิบ 
- หากเดินทางไปสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ห้ามดื่มน้ำจากแม่น้ำหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการต้มมาก่อน  
   และควรดื่มน้ำบรรจุขวดที่ไม่ใส่น้ำแข็งทุกครั้ง 
- ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัว ช้อนส้อม และเครื่องใช้ในครัวอื่น ๆ ร่วมกับผู้ป่วย 
- สำหรับผู้ป่วย Gastroenteritis ควรหยุดงาน งดไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กหลังจากติดเชื้อ 2 วัน  
  และควรหลีกเลี่ยงการไปเยี่ยมผู้ป่วยอื่น ๆ ที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.pobpad.com/gastroenteritis-โรคกระเพาะอาหารและลำ 
                            คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : http://www.krabinakharin.co.th/กระเพาะอาหารและลำไส้อ้/ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | ปวดตามข้อบอกโรคอะไรบ้าง | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ปวดตามข้อ คือหนึ่งในลักษณะอาการที่บ่งบอกได้หลายโรคด้วยกัน ได้แก่ โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และโรค เอส แอล อี  
                            ซึ่งแต่ละโรคก็มีลักษณะอาการปวดตามข้อที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันออกไป เช่น  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          (1) โรคเกาต์ อาการปวดที่เกิดขึ้น มักเกิดบวมแดงร้อนข้อแบบเฉียบพลัน แม้ว่าจะอยู่เฉย ๆ ไม่มีประวัติอุบัติเหตุ  
      ไม่ได้รับการกระทบกระแทกรุนแรงใด ๆ มีอาการปวดข้อเดียวไม่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหลายข้อ  
       ข้อที่พบว่าเป็นโรคเกาต์ได้บ่อยที่สุด  ได้แก่ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า | 
                        
                        
                          (2) ข้อเสื่อม โรคข้อเสื่อม ระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน  
      ข้ออาจมีการอักเสบร่วมกับข้อเริ่มโค้งงอ เหยียดงอไม่สุด ระยะรุนแรง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนมากขึ้น ข้อเริ่มหลวมไม่มั่นคง  
      ข้อหนาตัวขึ้น จากกระดูกงอกหนา ข้อโก่งงอ ผิดรูปชัดเจน เวลาเดินต้องกางขากว้างขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง  
      ขณะลุกขึ้นจากท่านั่งจะมีอาการปวดที่รุนแรง | 
                        
                        
                          (3)  เอส แอล อี โรค เอส แอล อี เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย     
                                 บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน 
บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ  
      มักมีอาการทางข้อและกล้ามเนื้อเป็นอาการนำ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ  
      มักเป็นข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วยคล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์  
      แต่บางรายอาจรุนแรงถึงชีวิต  | 
                        
                        
                          (4) รูมาตอยด์ โรครูมาตอยด์ อาการปวดข้อมักเกิดมากที่สุดช่วงตื่นนอน อาจมีอาการอยู่ 1 - 2 ชั่วโมง  
                                 หรือทั้งวันก็ได้ มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก  
      ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุดมักจะเป็นที่ข้อมือ และข้อนิ้วมือ แต่มีโอกาสปวดข้อไหนก็ได้  
      ลักษณะอาการปวดข้อช่วงเช้านี้ เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์ นอกจากอาการทางข้อแล้ว      
      ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำๆ ตาแห้ง  
      ปากแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนังบริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          สาเหตุ 
                            โรครูมาตอยด์เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง โดยภูมิต้านทานของผู้ป่วยมีการทำลาย 
                            และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ                            และกระดูกรอบข้อ บางรายรุนแรงจนพิการจากกระดูกถูกทำลาย ผิดรูป จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ในระยะหลัง ทำให้เกิดความเข้าใจถึงตัวแปรต่าง ๆ  
                            ในกระบวนการอักเสบมากขึ้นจนมีการค้นพบตัวยาใหม่ ๆ ที่จะยับยั้งขบวนการอักเสบ และลดการทำลายของข้อ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว 
                            จะสามารถยับยั้งการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อได้ โรครูมาตอยด์จะพบได้ประมาณร้อยละ 0.5 - 1.0 ของประชากรในประเทศไทย
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          การรักษา 
                            การรักษาโรคมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน คือ  
                            - การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี  
  ยาเหล่านี้ได้แก่ยารักษารูมาตอยด์โดยเฉพาะ ยาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสารชีวภาพ  
  และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์  
- การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย  
- การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมาก  
- การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          คัดลอกข้อมูลจาก : https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/top-4-arthritis-do-not-overlook 
                            ัคัดลอกข้อมูลจาก : นพ.สุรราชย์ ธำรงลักษณ์ แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | โรครูมาตอยด์ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ความหมาย รูมาตอยด์ 
                            รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่มีการอักเสบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย  
                            ไม่ใช่เพียงที่ข้อ 
                            เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติและไปทำลายอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตัวเอง  
                            ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีภาวะที่มีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ และหลอดเลือด | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                            | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 
                            โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะมีอาการปวดดำเนินอย่างช้า ๆ อาจนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน  
                            มีอาการเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า รวมไปถึงอาจพบว่ามีน้ำหนักตัวลดลงและมีไข้อ่อน ๆ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | อาการอื่น ๆ ของโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่ | 
                        
                        
                          - มีอาการปวด บวม แดง อุ่น ข้อฝืด โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกาย  
                              เช่น มือ ข้อมือ ข้อศอก เท้า ข้อเท้า เข่า และคอ 
                            - อาการข้อฝืดแข็ง อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว  
                              เช่น ตอนตื่นนอนในตอนเช้า หรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ 
                            - ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ปุ่มเนื้อนิ่ม ๆ ที่มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ  
                              เช่น ข้อศอก ข้อนิ้วมือ กระดูกสันหลัง | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 40% จะพบว่ามีอาการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อต่อ 
                            และอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ 
                            เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ ไต ต่อมน้ำลาย เส้นประสาท  
                            ไขกระดูก หลอดเลือด 
                            อาการและสัญญาณของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจแตกต่างกันไป 
                            ตามความรุนแรง และอาการอาจกำเริบและสงบลงเป็นพัก ๆ ได้ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                            | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | สาเหตุของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ | 
                        
                        
                          โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะเกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง  
                            โดยจะทำลายเยื่อหุ้มข้อ (Synovium) 
                            เป็นผลทำให้เกิดการอักเสบและบวมขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้ว 
                            อาจทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อต่อ 
                            รวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก  
                            หรือเอ็นข้อต่อจะเปราะบางลงและยืดขยายออก จากนั้นข้อต่อก็จะค่อย ๆ ผิดรูปหรือบิดเบี้ยว | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงต้นตอของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่แน่ชัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ 
                            จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
                            ในขณะที่ยีนอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง  
                            แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความไวต่อปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมได้  
                            เช่น การติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นการเกิดโรค | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ภาวะแทรกซ้อนของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 
                            การป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคต่าง ๆ ได้ ดังต่อไปนี้ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          - โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภาวะที่กระดูกมีความเสื่อมและเปราะบางลงทำให้แตกร้าวได้ง่าย  
  ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดจากยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 
- ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ตุ่มบวมมักเกิดขึ้นบนร่างกายในบริเวณที่มีการเสียดสี  
  เช่น ข้อศอก อย่างไรก็ตาม ตุ่มบวมนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายรวมไปถึงปอด 
- ตาแห้งและปากแห้ง ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักจะพบว่าเกิดโรคปากแห้งตาแห้ง  
  หรืออาจเป็นโรคโจเกรน (Sjogren's Syndrome) ได้ 
- การติดเชื้อ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และยาที่ใช้รักษา สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง 
   และนำไปสู่การติดเชื้อได้ในที่สุด 
- โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)  
   หากเป็นโรครูมาตอยด์ที่เกิดขึ้นที่ข้อมือ การอักเสบสามารถทำให้เกิดการกดทับ 
   เส้นประสาทที่มีผลต่อการทำงานของมือและนิ้วมือ 
- ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดแข็ง  
  รวมถึงเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งเกิดจากภาวะอักเสบในร่างกาย 
- โรคปอด ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอดและเกิดพังผืดที่เนื้อเยื่อปอด  
   ซึ่งสามารถทำให้เกิดการหายใจลำบากหรือหายใจสั้น 
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          | การป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ | 
                        
                        
                          โรครูมาตอยด์เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่เมื่อเป็นแล้วสามารถบำบัดรักษาให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด  
                            ซึ่งเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้โดยการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน  
                            ด้วยการมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น มีความกระฉับกระเฉง  
                            ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง รวมไปถึงการเลี่ยงพฤติกรรมที่ต้องใช้ข้อมาก ๆ  
                            นอกจากนั้น ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบตามเวลาและสม่ำเสมอ  
                            เพราะแม้ว่าจะมีอาการที่ดีขึ้นแล้วก็ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง  
                            เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ข้อเสื่อมหรือข้อถูกทำลาย | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          ภาพประกอบจาก  : https://health.kapook.com/view122574.html  
                                                           และ https://www.pobpad.com/รูมาตอยด์ 
                            คัดลอกข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com/รูมาตอยด์ | 
                        
                        
                          |   | 
                        
                        
                          
  | 
                        
                        
                          |   |