|
|
ความเป็นมาและประโยชน์ของเห็ดไมตาเกะ |
|
ชื่อสามัญ : King of Mushroom, Sulphur Shelf
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Grifola frondosa
ลักษณะดอก : เห็ดไมตาเกะ เจริญเติบโตจากโครงสร้างที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
เมื่อสภาวะอากาศเหมาะสมดอกเห็ดจึงเจริญเติบโตออกมาโดย ขนาดของดอกเห็ดอาจมีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางถึง 60 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นลอนโค้ง หรือลักษณะคล้ายช้อนมีสีน้ำตาลอมเทา
ในบางท้องที่ของญี่ปุ่น เห็ดชนิดนี้อาจมีการขยายขนาดจนมีน้ำหนักได้ถึง 20 กิโลกรัมต่อดอก |
|
ความเชื่อและประโยชน์ทางสุขภาพของเห็ดไมตาเกะ
ต้นกำเนิดของเห็ดไมตาเกะอยู่ที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีประวัติการใช้เป็น
ยารักษาโรคในตำราการแพทย์แผนจีนและญี่ปุ่นมาเป็นเวลาช้านานในแง่ของการเป็น
ตำรับยาช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับร่างกาย นอกจากนี้นักวิจัยในปัจจุบัน
ยังได้มีการค้นพบอีกว่าการรับประทานเห็ดไมตาเกะเป็นประจำจะช่วยปรับสมดุลของความดันโลหิต
ระดับน้ำตาลและฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือด อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคลอเรสเตอรอล
และไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดได้อีกด้วย เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี พบว่าเห็ดไมตาเกะอุดม
ไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น โปแตสเซียม แคลเซียม
แมกนีเซียม วิตามิน บี2 บี3 (ไนอาซิน) และ ดี 2 อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ และ กรดอะมิโนหลายชนิด เป็นต้น |
|
เห็ดไมตาเกะ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ King of Mushroom (ราชาแห่งเห็ด)
เป็นเห็ดสมุนไพรขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสูง มีการศึกษาถึงประโยชน์ในการป้องกัน
และการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคเอดส์ เบาหวาน โรคอ้วน และระดับคลอเรสเตอรอล
ในเลือดสูงอีกด้วย |
|
เห็ดไมทาเกะ ( Maitake Mushroom ) ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคสรวม ( Beta Glucose)
ไขมันที่มีฟอสฟอรัส กรดไขมันไม่อิ่มตัว เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของโรค และยับยั้งการเจริญเติบโต
ของเนื้องอกสูงถึง 98 % โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือไขมันในเลือดสูง |
|
เห็ด นักวิทยาศาสตร์พบว่าเห็ดไรชิ ,เห็ดชิตาเกะ ,เห็ดไมตาเกะ มีสารต้านมะเร็งในปริมาณสูง
มีการทดลองให้สัตว์กินสารสกัดจากเห็ดไมตาเกะ พบว่า 40%ของสัตว์ทั้งหมดสามารถกำจัดมะเร็ง
ได้หมดสิ้น ส่วนอีกสัตว์อีก60%นั้นสามารถกำจัดมะเร็งได้ถึง 90% ในเห็ดไมตาเกะ
ประกอบด้วยโพลีแซคคาไลท์ ที่ชื่อว่า เบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
และช่วยลดความดันเลือด |
|
ประโยชน์ทางการแพทย์
สมบัติทางยาของเห็ดไมตาเกะ สามารถต้านทานมะเร็ง ส่วนใหญ่จะควบคุมการขยาย
ของขนาดของก้อนมะเร็งไม่ให้มีการขยายตัว บางส่วนมีการลดขนาดของก้อนมะเร็งบางชนิดด้วย
การที่มันสามารถต้านการเกิดมะเร็งได้นั้น เนื่องจากมีการผลิตสารเคมีที่เรียกว่า Grifolan
รวมทั้งมีการสร้าง glucan polysaccharide ซึ่งสาร grifolan นั้นมีความสามารถ
ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีประสิทธิ์ภาพในการจับกินสิ่งแปลกปลอม
ที่เข้ามาในร่างกายของเราสามารถรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ เนื่องจากมีสารที่เรียกว่า
X- fraction ซึ่งเป็นสารที่มีขนโมเลกุลของสาร polysaccharide ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยในการเพิ่ม
ความสามารถในการดูดซึมน้ำตาลในเลือด และความคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูง
ลดการต้านการทำงานของฮอล์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนมีความสำคัญในควบคุม
ระดับน้ำตาลในเลือด โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนเรา รวมทั้งลด ความดันของกระแสโลหิต
และปริมาณไขมันในเลือดหรือคลอเลสเตอรอล (Cholesterol) อีกทั้งยังมีวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
และไยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายทำให้การขับถ่ายของเราเป็นปกติ |
|
ผลการทดลองทางการแพทย์
ผลการทดสอบสรรพคุณจากห้องปฏิบัติการ รายงานว่าสารสกัดเห็ดไมตาเกะ
ยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง และเนื้องอกหลายชนิดในหนูทดลอง
กระตุ้นภูมิคุ้มกันในคนป่วยโรคมะเร็งเต้านม ปอด ตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว
รวมทั้งโรคเอดส์ได้ผลดีมาก อีกทั้งจำนวน CD4 และ CD8 เพิ่มขึ้นจากเลือดคนไข้ 10 ราย
และมีผลทำให้ NK cell มีผลการทำลายต่อเซลล์เป้าหมายที่เพิ่มมากขึ้น |
|
แหล่งที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Hen_of_the_woods
http://www.mingspantry.com/yukmaitmus.html |
|
|
|
อินซูลิน |
|
อินซูลิน (Insulin) คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกผลิตขึ้นจากตับอ่อน
ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในให้เหมาะสม ทั้งนี้อินซูลินที่ใช้ในทางการแพทย์นั้นสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อรักษาโรคเบาหวาน
ทั้งในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ร่วมกับการใช้ยาชนิดอื่น ๆ หรือเมื่อการใช้ยาชนิดอื่น ๆ ไม่ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ
โดยอินซูลินแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ |
|
- ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Ultra Rapid-Acting) เป็นชนิดที่ใช้เวลาการเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 12-30 นาที
และออกฤทธิ์สูงสุดในช่วงเวลา 30 นาที-3 ชั่วโมง และออกฤทธิ์ยาวนานต่อเนื่อง 3-5 ชั่วโมง
- ชนิดออกฤทธิ์ปกติ (Regular หรือ Short-Acting) คืออินซูลินที่จะเริ่มออกฤทธิ์หลังฉีดเข้าร่างกายประมาณ 30 นาที
ตัวยาออกฤทธิ์สูงสุดระหว่าง 2.5-5 ชั่วโมง และออกฤทธิ์ต่อเนื่อง 4-8 ชั่วโมง
- ชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง (Intermediate Acting) คืออินซูลินที่จะเข้าสู่กระแสเลือด 1-2 ชั่วโมง
และออกฤทธิ์สูงสุดระหว่างเวลา 4-12 ชั่วโมง
และออกฤทธิ์ต่อเนื่อง 14-24 ชั่วโมง
- ชนิดออกฤทธิ์นาน (Long Acting) อินซูลินชนิดนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 6-14 ชั่วโมงหลังฉีด และค่อย ๆ ออกฤทธิ์ใน 10-16 ชั่วโมง
โดยไม่มีช่วงเวลาออกฤทธิ์สูงสุด อินซูลีนชนิดนี้จะอยู่ในกระแสเลือดได้ถึง 20-24 ชั่วโมง |
|
ในการใช้อินซูลินแพทย์จะเป็นผู้สั่งและ เป็นผู้กำหนดปริมาณที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น
เนื่องจากการใช้ในปริมาณที่น้อยเกินไปจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล
หรือหากใช้มากไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้ |
|
คำเตือนการใช้อินซูลิน
- ผู้ที่ประวัติแพ้อินซูลิน ควรหลีกเลี่ยงการใช้อินซูลินทุกชนิด
- ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามใช้อินซูลิน
- ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคตับหรือไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาดังกล่าว
- ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบหากผู้ป่วยมีการใช้ยารักษาโรคเบาหวานชนิดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการใช้ยาซ้ำซ้อน
ซึ่งอาจเสี่ยงต่อปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจได้
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรควรแจ้งต่อแพทย์ก่อนใช้ยานี้เพื่อความปลอดภัย |
|
ผลข้างเคียงจากการใช้อินซูลิน
อินซูลินเป็นยาที่ทำให้เกิดการแพ้ได้น้อยมาก แต่อาจพบได้ โดยส่งผลให้เกิดอาการแพ้ทั่วร่างกาย
หรือบวมแดงบริเวณที่ฉีดซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย |
|
ผู้ป่วยจึงควรหมั่นสังเกตอาการตลอดเวลาที่ใช้อินซูลินในการรักษา โดยผลข้างเคียงที่มักพบ
ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และน้ำหนักตัวขึ้น ทั้งนี้ หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่ |
|
- รู้สึกวิตกกังวล มึนงง ซึมเศร้า
- ตาพร่ามัว
- มีอาการหนาวสั่น และมีเหงื่อออก ตัวเย็น
- เกิดอาการชักกะตุก ชัก หรือตัวสั่น
- ผิวหนังซีด หรือมีผื่นขึ้น
- ปากแห้ง ไอ กลืนลำบาก
- ปัสสาวะน้อยลง
- หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
- ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้
- หิว หรือกระหายน้ำบ่อยขึ้น
- ความอยากอาหารลดลง
- มีอาการเหน็บชาที่มือ เท้า หรือริมฝีปาก
- กล้ามเนื้อเกร็ง
- แน่นหน้าอก
- เกิดอาการเหนื่อย อ่อนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ |
|
คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.pobpad.com/อินซูลิน |
|
|
|