|  | 
                        
                          |  | 
                        
                          | คุณค่าของมะรุม มะรุม จัดเป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีประโยชน์เอนกประสงค์ ทั้งทางด้านอาหาร ยาและอุตสาหกรรม
 เป็นไม้ยืนต้นที่โตเร็ว ทนแล้ง ปลูกง่ายในเขตร้อน อาจจะเติบโตมีความสูงถึง 4 เมตรและออกดอก
 ภายในปีแรกที่ปลูก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ชนิดที่แตกใบย่อย 3 ชั้น ยาว 20 - 40 ซม.
 ออกเรียงแบบสลับ ใบย่อยยาว 1 - 3 ซม. รูปไข่ ปลายใบและฐานใบมน ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่า
 และมีขนเล็กน้อยขณะที่ใบยังอ่อน ใบมีรสหวานมัน ออกดอกในฤดูหนาว บางพันธุ์ออกดอกหลายครั้ง
 ในรอบปี ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว กลีบเรียง มี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบแยกกัน ดอกมีรสขม หวาน
 มันเล็กน้อย ผลเป็นฝักยาว เปลือกสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมน เป็นระยะ ๆ ตามยาวของฝัก
 ฝักยาว 20 - 50 ซม. ฝักมีรสหวาน เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้ม 3 ปีก
 เส้นผ่าศูนย์กลางของเมล็ดประมาณ 1 ซม.
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | สรรพคุณของมะรุม มะรุมในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุม
 ภาวะความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
 - ใบ : ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง
 ลดความดันโลหิต
 - ยอดอ่อน : ใช้ถอนพิษไข้
 - ดอก : ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
 - ฝัก : แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
 - เมล็ด : เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
 - ราก : รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ
 รักษาโรคไขข้อ (rheumatism)
 - เปลือกลำต้น : รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต
 ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
 - ยาง : (gum) ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส (syphilis) แก้ปวดฟัน earache, asthma
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | คุณประโยชน์อื่น - ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ
 และตาบอดได้เป็นอย่างดี
 - ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
 - รักษาโรคความดันโลหิตสูง
 - ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์
 เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
 ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
 - ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะ ควบคุมได้
 - ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษา
 พยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้
 ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
 - หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้น
 และมีร่างกายที่แข็งแรง
 - ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
 - รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น
 หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
 - รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
 - รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
 - มะรุมเป็นยาปฏิชีวนะ
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | ที่มาของข้อมูล : http://th.wikipedia.org  โดย Search คำว่า มะรุม | 
                        
                          |  | 
                        
                          | 
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | มะเร็งกระดูก | 
                        
                          |  | 
                        
                          | มะเร็งกระดูก (Bone Cancer) คือ เซลล์มะเร็งที่เริ่มก่อตัวบริเวณกระดูกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเรียกว่า โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ และเซลล์มะเร็งที่มีต้นกำเนิดจากอวัยวะอื่นแล้วแพร่กระจาย
 ไปยังกระดูกซึ่งเรียกว่าโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ 
                            โดยชนิดปฐมภูมินั้นพบได้ไม่บ่อยนัก
 มักเกิดขึ้นในกระดูกที่มีลักษณะเป็นแนวยาว เช่น กระดูกแขนหรือกระดูกขา
 โดยมีอาการเจ็บหรือบวมแดงที่บริเวณนั้น ๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกโรค
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | อาการมะเร็งกระดูก มะเร็งกระดูกอาจเกิดขึ้นที่กระดูกบริเวณใดก็ได้ แต่ส่วนมากมักเกิดกับกระดูกแนวยาวอย่างแขนส่วนบนหรือขา
 อาการของโรคที่พบได้บ่อยที่สุดคืออาการเจ็บกระดูก ซึ่งมักเริ่มจากอาการคล้ายฟกช้ำบริเวณกระดูก
 ที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็ง 
                            หลังจากนั้นจะเริ่มเจ็บอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือเจ็บเป็นพัก ๆ
 มักเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือขณะนั่งพัก 
                            ทั้งนี้อาการเจ็บปวดดังกล่าวอาจทำให้สับสนกับโรคข้ออักเสบในผู้ใหญ่
 และอาการปวดจากการเจริญเติบโตของร่างกายในส่วนกระดูกและข้อของเด็กได้
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | นอกจากอาการเจ็บแล้วยังอาจพบอาการบวมแดงจากการอักเสบ หรือสังเกตได้ถึงก้อนบวมรอบบริเวณดังกล่าว ซึ่งหากเป็นกระดูกที่อยู่ใกล้ข้อต่อ อาการบวมที่เกิดขึ้นอาจทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ยาก ในผู้ป่วยบางราย
 มะเร็งอาจส่งผลให้กระดูกอ่อนแอลงจนแตกหักได้ง่ายเพียงหกล้มหรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | สาเหตุของมะเร็งกระดูก สาเหตุของเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้นบริเวณกระดูกหรือมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมินั้นยังไม่ชัดเจน
 แต่ปัจจุบันทางการแพทย์พบว่าปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิมีดังนี้
 | 
                        
                          | - การรักษาโดยการใช้รังสี กระบวนการรักษาโรคอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยต้องเผชิญกับรังสีมาก ๆ อาจทำให้เซลล์มะเร็งพัฒนาขึ้นในเซลล์กระดูกได้
 - เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก เช่น โรค Paget’s Disease of The Bone ซึ่งเป็นโรคความผิดปกติของพัฒนาการในเซลล์กระดูก
 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระดูกในผู้ที่มีอายุ 50-60 ปี รวมถึงเนื้องอกในกระดูกอย่างโรค Ollier's disease
 ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระดูกเช่นกัน
 - พันธุกรรม โรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระดูก
 เช่น โรคมะเร็งจอประสาทตาในเด็ก (Retinoblastoma) ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก
 อย่างกลุ่มอาการ Li-Fraumeni 
ที่นอกจากเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระดูกแล้วยังเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดอื่น ๆ อีกด้วย
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | มะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิซึ่งเป็นชนิดที่เซลล์มะเร็งไม่ได้เริ่มก่อตัวที่บริเวณกระดูกแต่เกิดจากการแพร่กระจาย ของมะเร็งจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 
                            มายังกระดูก เช่น มะเร็งเต้านมในระยะรุนแรงอาจทำให้เซลล์มะเร็งกระจายมาที่กระดูกได้
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งกระดูก - อาการปวด มักเกิดขึ้นบริเวณที่มะเร็งก่อตัวขึ้น ทำให้มีอาการเจ็บเป็นพัก ๆ ในช่วงแรก และค่อย ๆ
 รุนแรงขึ้นในเวลาต่อมาหรือเมื่อทำกิจกรรมใด ๆ
 - กระดูกแตกหัก พบได้บ่อยรองลงมาจากอาการปวด เนื่องจากกระดูกที่มีเซลล์มะเร็งมักอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
 และง่ายต่อการแตกหักเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือมีแรงกระทบ 
ผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนจากมะเร็งกระดูก
 ชนิดนี้มักเผชิญอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง บริเวณที่เกิดเซลล์มะเร็ง ก่อนจะตามมาด้วยการแตกหรือหักของกระดูก
 - ระดับแคลเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลให้กระดูกอ่อนแอลง ท้องผูกหรือเกิดนิ่วในไตตามมา
 รวมทั้งกระทบต่อการทำงานของหัวใจและสมองจนเกิดอาการสับสน มึนงง และอ่อนเพลีย
 - กระดูกอักเสบ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งกระดูกอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบของกระดูก
 ส่งผลให้มีอาการหนาวสั่น 
เป็นไข้ มีอาการเจ็บ หรือเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตตามมาหากไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
 - การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ในร่างกายผ่านกระแสเลือด
 หรือระบบน้ำเหลืองที่เป็นกลไก ป้องกันของร่างกาย โดยอวัยวะที่พบการแพร่กระจายของมะเร็งมากที่สุดก็คือปอด
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | การป้องกันมะเร็งกระดูก เนื่องจากในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดมะเร็งกระดูก
 จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ยืนยันได้ว่าจะสามารถช่วยป้องกันโรคนี้ได้ผล
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | คัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.pobpad.com/มะเร็งกระดูก | 
                        
                          |  | 
                        
                          | 
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | โรครูมาติซั่ม หรือโรครูมาตอยด์ | 
                        
                          |  | 
                        
                          | คำว่า “รูมาติสซั่ม” เป็นศัพท์โบราณที่แพทย์เคยใช้เรียกกัน เป็นคำทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า “rheumatism” (ที่ถูกควรออกเสียงว่า “รูมาติสซั่ม” มากกว่า “รูมาติสซั่ม”) ความหมายประการแรกก็คือ อาการปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็น
 จะด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ก็เรียกรวม ๆ ว่า “รูมาติสซั่ม” ไปหมด ไม่ได้เจาะจงถึงโรคหนึ่งโรคใดโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นข้อแพลง
 ข้ออักเสบ ยอกกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ ก็จัดว่าเป็น “โรครูมาติสซั่ม” ได้หมด ดังนั้น คำ ๆ นี้จึงมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “ปวดหัว”
 “ตัวร้อน” ซึ่งเพียงแสดงถึงลักษณะอาการของโรคต่าง ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคนั้นโรคนี้แต่อย่างใด
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | แต่เนื่องจากอาการปวดข้อมักจะมีสาเหตุมาจากโรคข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายชนิด ที่พบบ่อยก็คือ โรคข้อเสื่อม ซึ่งเกิดจากผิวข้อต่อสึกกร่อนตามวัย พบมากที่ข้อต่อและข้อกระดูกสันหลัง ซึ่งภาษาชาวบ้านนิยมเรียกว่า “โรคไขข้อแห้ง”
 โรคนี้ถือเป็นภาวะเสื่อม สลายตามสังขารตามวัย จึงพบว่าเป็นกันมากในหมู่คนสูงอายุ และยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยตรง
 ดีไม่ดีคนไข้นิยมซื้อยาแก้ปวดกินเอง จนกลายเป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะเป็นแผลทะลุ เสี่ยงต่ออันตรายไป
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเด่นคือ มีการเจริญงอกงามของเยื่อบุข้ออย่างมาก เยื่อบุข้อนี้จะลุกลามและทำลายกระดูกและข้อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก
 เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | ผู้ใดบ้างที่เป็นโรครูมาตอยด์ โรครูมาตอยด์สามารถเป็นได้กับทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยวัยกลางคน
 และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | สาเหตุของโรครูมาตอยด์ สาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การมีฟันผุ การสูบบุหรี่
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | อาการของโรครูมาตอยด์ ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดข้อ ข้อบวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก จะเป็นมากที่สุดช่วงตื่นนอนเช้า
 และอาจมีอาการอยู่ 1-2 ชั่วโมงหรือทั้งวันก็ได้ 
                            ลักษณะอาการปวดข้อ ช่วงเช้านี้เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์
 ซึ่งต่างจากโรคไขข้ออื่นๆ ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุด 
                            มักจะเป็นที่มือและเท้า แต่มีโอกาสปวดข้อตำแหน่งอื่นได้
 นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการต่อไปนี้ได้ 
เช่น อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ตาแห้ง
 คอแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนัง บริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ 
ในรายที่ได้รับการรักษาล่าช้าอาจเกิดการทำลายข้อถาวร
 ทำให้ข้อพิการผิดรูปได้
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | การรักษา - การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี
 ยาเหล่านี้ได้แก่ยารักษารูมาตอยด์โดยเฉพาะยาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสารชีวภาพ
 และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์
 - การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย
 - การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญ
 - การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          | คัดลอกข้อมูลบางส่วน และเรียบเรียงจาก : https://www.doctor.or.th/article/detail/6451 โดย นักเขียนหมอชาวบ้าน "ภาษิต ประชาเวช"
 คัดลอกข้อมูลบางส่วน และเรียบเรียงจาก :  https://www.bangkokhospital.com/th/Arthritis-Rheumatic_tab
 โรงพยาบาลกรุงเทพ
 | 
                        
                          |  | 
                        
                          |  | 
                        
                          | 
 | 
                        
                          |  |