|
|
Grape seed extract (GSE) คือสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ปกติได้จากเมล็ดขององุ่นแดง (Vitis vinifera)
ซึ่งเป็นผลพลอยได้ (by product) จากการผลิตน้ำองุ่น (grape juice) |
|
สารสำคัญที่มีประโยชน์ในเมล็ดองุ่นเป็น สารกลุ่ม phenolic compound เช่น ฟลาโวนอยด์ (flavonoids)
หรือ โพลีฟีนอล (polyphenol) คือ oligomeric Oligomeric Proanthocyanidin Complexes (OPC)
เป็นสารที่พบได้ในผักผลไม้เปลือกแข็ง เมล็ด, ดอกและเปลือกของผลไม้หลายชนิด
เช่น องุ่น บลูเบอรี่ พลัม แปะก๊วย และเปลือกสนฝรั่งเศส (สนมาริไทม์) แหล่งที่สำคัญคือ เมล็ดองุ่น |
|
Oligomeric Proanthocyanidin Complexes - OPC เป็นสารออกฤทธิ์ในกลุ่ม Bioflavonoids
เป็นสารที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง (Super Antioxidation)
เเละยังเสริมฤทธิ์การทำงานของวิตามิน C เเละวิตามิน E ช่วยป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ
ที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา รวมทั้งปัจจัยภายนอกต่างๆ อันเป็น สาเหตุของความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ
ในร่างกาย สารกลุ่มนี้ ถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหาร และลำไล้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว
ภายใน 20-30 นาที จากนั้นจึงกระจายไปสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ และยังคงอยู่ภายในร่างกายได้นาน
(half life 7 ชม.) และยังสามารถรวมตัวได้ดีกับคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง
หลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ จึงทำให้เซลผิวหนังแข็งแรง ไม่เหี่ยวย่น หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี
ไม่เปราะหรือแตกง่าย นอกจากนี้สามารถผ่านแนวกั้นสมอง (blood brain barrier) ได้
จึงป้องกันสมองมิให้เสียหายจากอนุมูลอิสระ คุณสมบัติเด่นนี้ทำให้ OPC เป็น antioxidant
ที่ต่างจากชนิดอื่น ๆ |
|
ประโยชน์ของ OPC : ป้องกันผิวหนังเหี่ยวแก่ และช่วยให้เส้นผมแข็งแรงจากต้านอนุมูลอิสระของ OPC
มีนักวิจัยชื่อ Takahashi พบว่า OPC กระตุ้นเส้นผมในหนูทดลองให้งอก
จากคุณสมบัติ ช่วยหยุดการทำงานของฮอร์โมนลักษณะเพศชาย (Dihy drotestosterone – DHT)
ซึ่งถ้า DHT มากไปจะไปยับยั้งการเกิดตุ่มเส้นผม จึงทำให้ขนหรือผมร่วง ในด้านการป้องกันริ้วรอย
ฝ้า กระ OPC ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจน และอิลาสตินในผิวหนัง
อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ เกิดริ้วรอยก่อนวัย คงสภาพของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) |
|
ที่มาของข้อมูล : http://www.foodnetworksolution.com |
|
|
|
เกร็ดน่ารู้ : ผมร่วง เมื่อไรจึงเป็นปัญหา? |
|
เส้นผมและหนังศีรษะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่สร้างความสวยงามดึงดูดให้กับผู้เป็นเจ้าของ
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะมากขึ้น การมีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคเส้นผม
และหนังศีรษะเบื้องต้นจึงมีความสำคัญ |
|
วงจรการเจริญงอกงามของเส้นผมบนหนังศีรษะ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1) ระยะเจริญงอกงาม
2) ระยะพัก
3) ระยะเปลี่ยนสภาพ |
|
แต่ละช่วงใช้เวลาต่างกัน โดยระยะเจริญงอกยาวของเส้นผมในสภาวะปกติ เส้นผมคนเราสามารถหลุดร่วงได้มากถึงวันละ 120 - 160 เส้น
หากมากกว่านี้หรือร่วมกับมีอาการผิดปกติของหนังศีรษะ เช่น คัน แสบ แดง มีสะเก็ด หรือเป็นหนองพุพองถือว่าเป็นภาวะผิดปกติ
ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทีมีความชำนาญ |
|
สาเหตุผมร่วง ผมบาง
1) ความเจ็บป่วยทางกาย
- ส่วนมากมีสาเหตุมาจากโรคต่อมไทรอยด์ (Thyroid Problems) รวมทั้งการเสียสมดุลการทำงานของต่อมไทรอยด์
ที่ทำงานเพิ่มมากขึ้น
หรือน้อยผิดปกติ
- ภาวะภูมิแพ้อวัยวะภายใน และต่อมามีการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านต่อรากผมเฉพาะที่หรือทั่วร่างกาย
- โรคผิวหนังเดิมของผู้ป่วยสามารถทำให้มีรอยโรค มีการอักเสบ ที่รบกวนการเติบโตของเส้นผม รวมถึงการติดเชื้อ
เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสของหนังศีรษะ
- การเจ็บป่วยทางกายอื่น ๆ ทั้งที่เรื้อรังและเฉียบพลันสามารถส่งผลรบกวนวงจรการเติบโตของเส้นผม มีผลให้การเติบโตหยุดชะงัก
และหลุดร่วงในปริมาณมากได้ แต่เมื่อได้รับการรักษาแล้ว เส้นผมจะค่อย ๆ ทยอยกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง |
2) ยา อาหารเสริม วิตามินบางชนิด
การบริโภคยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมันในเส้นเลือด ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของวิตามินสังเคราะห์ ยารักษาโรคมะเร็ง ยากดภูมิคุ้มกัน
ยารักษาโรคไขข้อเสื่อม ไขข้ออักเสบ ยาลดความเครียด ยาลดความดันบางชนิด รวมถึงวิตามินเสริมบางชนิดที่บริโภคมากเกินกว่า
ความต้องการของร่างกาย โดยที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับในปริมาณที่เกินกำหนดจะมีผลไประงับการเจริญเติบโตของรากผม
ทำให้เกิดผมร่วง และจะกลับมาเป็นปกติเมื่อหยุดยาและวิตามินเสริมนั้น ๆ |
3) ความเครียดสะสม
การงอกของเส้นผมคนเราอ่อนไหวและไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และสภาวะกายใจ
- ความเครียด หมายรวมถึง ความเครียดทางกาย คือ การบาดเจ็บ อาการเจ็บป่วยรุนแรง หรือ เรื้อรัง การออกกำลังกายที่หักโหม
การให้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม การย้อม ดัด ยืดด้วยสารเคมี และการจัดแต่งทรงผมที่ดึงรั้ง ได้แก่ การมัดผมรวบตึง การถักผมเปียถาวร
รวมถึงการเดินทางไกล ย้ายถิ่นฐาน เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยทางกายทั้งสิ้น
- ความเครียดทางใจ ความวิตกกังวล นับเป็นเหตุสำคัญที่มักทำให้เกิดผมร่วงเรื้อรังตามมา ยากแก่การแก้ไข
บางรายดึงถอนผมบนศีรษะโดยไม่รู้ตัว มักพบในเด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะเครียด จนทำให้เป็นแผลติดเชื้อ หนังศีรษะถูกทำลาย
และถูกแทนที่ด้วยพังผืดแผลเป็น นำไปสู่การสูญเสียรากผมแบบถาวรได้ ผู้ป่วยบางรายมีความเครียดสะสมต่อเนื่อง
ทำให้มีอาการผมร่วงติดต่อกันเป็นเวลานาน ยากแก่การแก้ไข จำเป็นต้องรับการปรึกษาทั้งจากแพทย์เฉพาะทางด้านเส้นผม
และหนังศีรษะและจากจิตแพทย์ร่วมด้วย |
4) ภาวะโภชนาการบกพร่อง
คนที่มีความกังวลเกี่ยวกับรูปร่าง ลดน้ำหนักตัวผิดวิธี น้ำหนักตัวลดลงมากในช่วงเวลาสั้น ๆ บางคนมากจนมีภาวะขาดสารอาหาร
ยิ่งเสริมให้เส้นผมเปราะหักง่ายและดูบางลงเช่นกัน ซึ่งธาตุเหล็ก พบว่ามีความจำเป็นต่อการเจริญของเส้นผม
ธาตุเหล็ก สามารถพบได้ในอาหารเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักใบเขียว เมล็ดพันธุ์พืชบางชนิด ผู้ป่วยที่ขาดธาตุเหล็กนอกจากผมร่วงแล้ว
อาจมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย เล็บเปราะบาง ลิ้นแดงเลี่ยนแสบ เป็นต้น ยังมีแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ
ที่ส่งเสริมภาวะผมร่วงจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาได้ทันท่วงทีต่อไป |
5) พันธุกรรม
- นับเป็นปัญหาสำคัญ ปัจจุบันพบว่ามีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้เส้นผมเล็ก บางลง เมื่อเจริญวัยขึ้น
การถ่ายทอดนี้เป็นพันธุกรรมเด่น มักพบมีประวัติญาติสายตรง บิดา มารดา พี่น้อง มีภาวะผมบาง ศีรษะล้าน
โดยในเพศชายพบอุบัติการณ์ 50% และเพศหญิงพบได้ถึง 70% เมื่อย่างเข้าอายุปีที่ 50
- กลไกการเกิดผมบาง ศีรษะล้านจากพันธุกรรมนี้ เกิดจากมีฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone)
เป็นตัวการหลักที่ทำให้เส้นผมที่งอกใหม่มีขนาดเล็กลง เมื่อเวลาผ่านไปเส้นผมที่เล็กลงจะไม่สามารถปกปิดหนังศีรษะได้ดังเดิม
- ไม่มีความจำเป็นต้องกังวล หากท่านมีปัจจัยเสริมทางพันธุกรรม แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อรับคำแนะนำ
และวางแผนการรักษาระยะยาวต่อไป โดยมีการรักษาหลัก ๆ ดังนี้ |
1. รับประทานยา โดยยากลุ่มหลักจะมีฤทธิ์ต้านการออกฤทธิ์ของฮอร์โมน DHT ทำให้เส้นผมค่อย ๆ กลับคืนสู่ขนาดปกติ
ใช้ได้ดีในกลุ่มผู้ป่วยชายที่ผมบางจากพันธุกรรม ส่วนผู้ป่วยหญิงนั้นต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป
เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยจากยาชนิดใดยืนยันว่าได้ผลชัดเจน และยังมีผลข้างเคียงที่ควรทราบก่อนการใช้ยาทั้งฝ่ายชายและหญิง
2. ทายากระตุ้นเส้นผม โดยตัวยาออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยารับประทาน แต่เป็นชนิดทา ผลข้างเคียงน้อย สามารถใช้ได้ทั้งหญิงและชาย
3. การผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม ปัจจุบันมีทั้งวิธีการผ่าตัดและการสกัดเจาะรากผม แล้วย้ายรากผมมาปลูกลงในบริเวณที่ผู้ป่วยต้องการ
ไม่จำเป็นว่าการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น หุ่นยนต์ จะเหมาะกับผู้ป่วยทุกราย จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เฉพาะทางโดยตรง
4. การฝังเส้นผมเทียมบนหนังศีรษะ หรือที่รู้จักกันในชื่อเส้นไฟเบอร์ วิธีนี้เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่น
แต่ต่อมาพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนไม่พึงประสงค์หลายประการ อันได้แก่ แผลเป็นดึงรั้งหนังศีรษะ เส้นผมเทียมเปลี่ยนสี
เปลี่ยนสภาพ หดงอในภายหลัง เป็นเหตุให้ผู้ป่วยต้องมาถอนออก และรับการปลูกถ่ายเส้นผมทดแทนในเวลาต่อมา
5. การใช้ผงไฟเบอร์ที่มีสีสันเดียวกับสีผมเดิม โรยเคลือบให้เส้นผมในบริวณที่บางมีความหนาและยังช่วยพรางตาดูดกดำขึ้น
6. การสวมวิกผมปลอม หรือการใช้ Hair Piece ติดเสริมให้ผมดก เป็นอีกวิธีที่สะดวก ประหยัด
และสามารถเปลี่ยนแบบทรงผมได้เท่าที่ต้องการ |
|
คัดลอกข้อมูลจาก : https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/
when-should-hair-loss-be-taken-seriously
โรงพยาบาลกรุงเทพ |
|
|
|